เปิดมุมมองทองคำจะไปต่อทิศทางไหน ท่ามกลางปัจจัย “สงคราม-เงินเฟ้อ” รุมเร้า กับ ณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด
วันที่ 21 มีนาคม 2565 ต้องยอมรับว่าการลงทุนทองคำ ณ ปัจจุบัน ได้สร้างผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมให้แก่นักลงทุน โดยล่าสุดผลตอบแทนทองคำนับตั้งแต่ต้นปีปรับตัวขึ้นไปแล้วกว่า 10% ซึ่งก็เป็นผลมาจากสงคราม”รัสเซีย-ยูเครน” ที่ทำให้นักลงทุนเทขายสินทรัพย์เสี่ยงเพื่อมาลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น นั่นทำให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นไปทะลุ 2,000 เหรียญต่อออนซ์
อย่างไรก็ดี “ทองคำ” ในฐานะที่เป็น Safe-Haven หรือสินทรัพย์ปลอดภัย นักลงทุนอาจจะยังลังเลว่าควรจะซื้อทองคำเพื่อลงทุนต่อดีหรือไม่ ท่ามกลางความผันผวนของราคาทองคำ ที่ยังปรับตัวขึ้นลงอย่างต่อเนื่อง
วันนี้เราจะคุยกันในประเด็นการลงทุนทองคำท่ามกลางสงครามและเงินเฟ้อ กับ “ณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์” ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด มานำเสนอ
ราคาทองคำในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ราคาปรับขึ้นมาค่อนข้างสูง มองว่ามีโอกาสที่ทองคำจะปรับตัวขึ้นไปต่อไหม หรือมีปัจจัยอะไรที่จะมาหนุนบ้างแล้วปรับตัวขึ้นไปอีกเท่าไหร่
สำหรับช่วงก่อนหน้านี้ทองคำในช่วงต้นปีอยู่ที่ประมาณ 1,800 เหรียญต่อออนซ์ และปรับตัวขึ้นไปเกือบเท่าจุดสูงสุดเดิมแถว ๆ 2,070 เหรียญต่อออนซ์ เนื่องจากว่าประเด็นทั้งของดัชนีเงินเฟ้อของสหรัฐที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง และตอนนี้ก็สูงสุดในรอบ 40 ปี ก็เป็นตัวหนุนต่อราคาทองคำ พอช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ก็จะมีเรื่องของประเด็นรัสเซียที่บุกยูเครน ตัวนั้นก็ทำให้คนกังวลและก็เข้ามาถือทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มขึ้น และคนก็กลับมากังวลในเรื่องของเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นด้วย เพราะพอสงครามมาอย่างรัสเซียเขาก็จะเป็นคนที่ส่งออกน้ำมันค่อนข้างเยอะ ก็เลยจะทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นค่อนข้างแรงไปหนุนให้เงินเฟ้อมีปัญหาอีก
ตรงนี้ก็เลยทำให้ทองคำปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง แล้วก็พอหลังจากนั้นทางรัสเซียก็จะเริ่มส่งสัญญาณว่าอยากเจรจากับยูเครน ตอนนี้เจรจากันมา 4 รอบ ก็เลยทำให้คนเริ่มมองแล้วว่ายุโรปก็ไม่ช่วย นาโต้ก็ไม่ช่วย แปลว่าสงครามนี้น่าจะจบไม่ช้ามากนัก ก็คือจบอาจจะเร็วกว่าที่คาด ทองคำก็เลยมีแรงขายออกมาจากที่เคยไปแตะแถว ๆ 2,070 เหรียญต่อออนซ์ แต่ถ้าสงครามรุนแรงและก็ยืดเยื้ออาจจะทำให้ราคาทองคำทะลุ 2,100 เหรียญต่อออนซ์ได้ แล้วก็สถานการณ์สุดท้ายที่มีโอกาสเป็นไปได้ยากที่สุดก็คือสงครามโลกครั้งที่ 3 อันนั้นเรามองว่ามีโอกาสที่ทองคำอาจจะทะลุไปสูงถึง 2,200-2,500 เหรียญต่อออนซ์ ได้เลยถ้าสมมติทั่วโลกเข้ามาตะลุมบอนกัน
เรื่องของสงครามรัสเซีย-ยูเครนก็ทำให้ตลาดมีความผันผวนค่อนข้างสูง รวมถึงเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นด้วยเรามองว่าทองคำยังเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยอันดับแรก ๆ อยู่หรือไม่ที่เราจะเลือกลงทุน แล้วสำหรับนักลงทุนที่เห็นว่าราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นไป อยากจะเข้ามาลงทุน อยากแนะนำอย่างไร
ถ้าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยก็คือมันมีสินทรัพย์หนึ่งเข้ามาท้าทาย ก็คือคริปโตเคอร์เรนซี คนก็จะบอกว่าคริปโตฯ ปลอดภัยกว่าทองคำอีก ซื้อขายที่ไหนก็ได้ พกวอลเลตไปง่ายด้วย แลกเปลี่ยนกันก็ง่าย แต่ว่าปัญหาใหม่ที่เราเพิ่งเจอที่เพิ่งเห็นจากเรื่องสงครามเนี่ยก็คือ พอคนที่ซื้อขายส่วนใหญ่ตลาดหลักจะอยู่ที่สหรัฐ อย่าง Binance, Coinbase กลายเป็นว่าเขาตัดไอพี (IP address) ของประเทศที่โดนแซงก์ชั่นออก แค่ตัดระบบ IP address คุณซื้อขายข้ามประเทศไม่ได้แล้ว แต่ทองคำยังมีจุดเด่นคือไม่ว่าถือไปที่ไหน คนก็ยังให้การต้อนรับอยู่ ก็เลยมองว่ายังไงก็ยังมีจุดเด่นกว่าพวกเหรียญ ก็คือถ้าชอบแบบความเสี่ยงต่ำหน่อย ทองคำยังดูเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยอันดับหนึ่งเลย
สำหรับคนที่อยากลงทุนอันนี้ก็มองน่าสนใจสะสมแถว ๆ 1,900 เหรียญต่อออนซ์ เพราะว่าเราไปดูย้อนหลังปกติทองคำในปีที่ดี ๆ จะให้ผลตอบแทนสูงสุดคือ 18% เฉลี่ย ๆ ก็จะประมาณ 10-15% ดังนั้นเราใช้ราคาต้นปีที่ 1,800 เหรียญต่อออนซ์ คิดแค่ในกรณีปกติที่ว่ามีสงครามแต่สงครามจบแต่มีเงินเฟ้อไม่ได้รุนแรงกว่านี้ ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 1,980 – 2,070 เหรียญต่อออนซ์ ก็คือบวกไป 10-15%
สำหรับระยะสั้นธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ขึ้นดอกเบี้ยแค่ 0.25% ทองคำปัจจุบันน่าจะตอบรับไปแล้ว ถ้าราคาทองคำไม่หลุด 1,900 เหรียญต่อออนซ์ ก็มองเป็นจังหวะเข้าซื้อเพื่อเล่นเด้งได้ เพราะว่าก่อนหน้าที่เฟดก็บอกอยู่แล้วว่าจะขึ้น 0.5% และก็ลดเหลือ 0.25% เพราะว่าสงครามมาแปลว่าทองคำรับรู้ข่าวนี้ไปพอสมควรแล้ว ปัจจุบันที่มองคือว่าฟันด์โฟลว์เริ่มขายทำกำไร (take profit) มากกว่า
ถ้ามองตลอดทั้งปี 2565 สิ้นปีมองราคาทองคำไว้ที่เท่าไหร่ ทั้งทองคำต่างประเทศและทองคำในประเทศ อย่างโกลด์แมน แซกส์ ประเมินไว้ว่าสิ้นปีทองคำอาจจะมีโอกาสขึ้นไปถึง 2,500 เหรียญต่อออนซ์ มองว่ามีโอกาสที่จะขึ้นไปถึงตรงนั้นได้จริงหรือไม่อย่างที่เขาประเมินเอาไว้
ปีนี้เรามองว่าทองคำน่าจะทำผลงานได้ดีกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ เพราะไปย้อนดูตั้งแต่ช่วงโควิด-19 ราคาทองคำเคยปรับตัวขึ้นไปแล้วก็ย่อลงมา กลายเป็นว่า 2 ปีที่ผ่านมาทองคำให้ผลตอบแทนได้ไม่ดีมากนัก เมื่อเทียบกับตลาดหุ้น ตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนสักประมาณ 10-20% เลยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา พอปีนี้ตลาดหุ้นลงเละเลย ลงไปเกือบ 10% แล้ว ทองคำเริ่มทำผลงานได้ดีขึ้นมา แปลว่าปีนี้ทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจ ส่วนราคาเป้าหมายปีนี้ก็มองอย่างน้อยประมาณ 2,000 เหรียญต่อออนซ์ ถ้าสมมติตีเป็นราคาทองคำไทยก็จะอยู่สักประมาณ 31,700 บาทต่อบาททองคำ ก็ถ้าถึง 2,500 เหรียญต่อออนซ์ อย่างที่เล่าไปเลยว่าถ้ามีการสงครามยืดเยื้อ นาโต้เข้ามาร่วมด้วยแล้วดูจะบานปลายหรือเป็นสงครามโลกครั้งที่ 3 ก็มีโอกาสที่จะไปได้ถึง 2,500 เหรียญต่อออนซ์ด้วยเช่นกัน มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ต้องเล่าว่าทองคำปกติชอบความไม่ดี เรียกว่าความร้ายแรง หรือแบบข่าวร้าย
ถ้าราคาทองคำปรับขึ้นทั่วโลกน่าจะมีปัญหาทั้งเรื่องสงครามก็ดี เรื่องเงินเฟ้อก็ดี หรือความขัดแย้งมันจะเป็นแรงหนุนราคาทองคำ ถ้าทองคำขึ้นได้แบบนั้นสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ มันจะแย่หมดและการใช้ชีวิตของเราอาจจะลำบากกัน เราก็จะไม่ค่อยอยากให้ทองคำมันขึ้นได้เยอะมากนัก เพราะปกติทองคำจะปรับขึ้นจากข่าวร้ายต้องบอกแบบนี้
อ้างอิง
https://www.prachachat.net/finance